post

ว่าวกับอารยะธรรมของชาวญี่ปุ่นที่ประสานกันได้อย่างลงตัว


ที่ประเทศญี่ปุ่นก็มีว่าวเหมือนกับอีกหลาย ๆ ประเทศ แล้วว่าวก็มีรูปทรงที่หลากหลายมากด้วย ไม่ว่าจะเป็นว่าวทรงสีเหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า หกเหลี่ยม และว่าวที่เป็นรูปทรงตามลวดลายบนตัวว่าว ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าวว่า Tako และด้วยรูปทรงและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ ทำให้ได้ต้องซื้อหากันไว้เป็นของที่ระลึกกันเลย นอกจากตัวว่าวจริง ๆ แล้ว ก็ยังมีว่าวจำลองขนาดเล็ก และที่นำมาทำเป็นพวงกุญแจว่าวให้ได้หาซื้อเป็นของฝากกันไป อยากรู้แล้วว่าเค้ายังมีอะไรให้ค้นหาเกี่ยวกับว่าวในประเทศญี่ปุ่นอีกบ้าง

จุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ของว่าวญี่ปุ่น

คนในสมัยโบราณใช้ว่าวเป็นเครื่องสักกะระต่อเทพเจ้าของพวกเค้า ความเชื่อในเรื่องการสักกะระที่ว่า ว่าวจะทำให้พวกเค้าได้ใกล้ชิดกับเทพเจ้าที่เคารพที่อยู่บนท้องฟ้า และในสมัยเอโดะ การที่ว่าวลอยพลิ้วอยู่บนท้องฟ้านั้น หมายถึงความเจริญรุ่งเรืองเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงกิจการเติบโต การนำโชคอีกด้วย ว่าวจึงไม่ได้มีไว้เพียงให้เด็ก ๆ ได้เล่นสนุกเพียงอย่างเดียว ทำให้มีการแข่งขันกันทั้งขนาด ความใหญ่ ความสวยงาม นอกจากนี้ว่าวยังเป็นเครื่องขอพรให้ลูกหลานเจริญเติบโต ปลอดภัย แข็งแรง และประสบความสำเร็จต่าง ๆ จนมีเทศกาลที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น

งานเทศกาล ฮะมะมัตสึ

เทศกาล ฮะมะมัตสึ  (HAMAMATSU) เป็นเทศกาลที่มีมายาวนานกว่า 450 ปีแล้ว ด้วยภูมิภาคเป็นเมืองที่มีลมพัดแรง โดยผู้ครองปราสาทฮิคิมะ ได้มีการนำว่าวขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการแทนคำขอบคุณต่อเทพเจ้าที่ได้ทรงประทานลูกชายคนโตให้กับเค้า แล้วก็กลายเป็นเทศกาลเพื่อเฉลิมฉลองให้ลูกคนแรกที่เกิดในปีนั้น ๆ เพื่ออธิษฐานให้พวกเค้าเติบโตแข็งแรง และยังกลายเป็นสนามแข่งว่าวที่มีการนำว่าวยักษ์ มาแข่งกันว่าว่าวของใครจะมีขนาดที่ใหญ่ที่สุด โดยว่าวส่วนใหญ่มักจะนิยมตกแต่งเป็นรูปเทพเจ้าของพวกเค้า ซึ่งจะมีขึ้นในทุก วันที่ 3 – 5 พฤษภาคม ของทุกปี บริเวณเนินทรายเมืองฮามามัตสึ จังหวัดชิซึโอกะ ภูมิภาคคันโต  ในตอนกลางวันผู้คนจากต่างสถานที่ ต่างเมือง กว่า 170 เมือง จะต่อสู้แข่งขันกันโดยให้ว่าวของตัวเองนั้นขึ้นไปให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนบรรดาผู้มาเยือนจะได้เห็นภาพว่าวชักขึ้นทั่วท้องฟ้าเต็มไปหมดซึ่งเป็นไฮไลท์ของงาน และเป็นมุมถ่ายภาพให้ได้ฟินกันไปเลย ก่อนที่จะถึงในช่วงกลางคืนของงาน ที่จะมีการเดินขบวนแห่ของรถไปทั่วเมือง โดยรถลากมีชื่อเรียกว่าโคเทนยะได (GOTEN YATAI) ที่ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะคล้ายกับปราสาทราชวัง ประดับด้วยโคมไฟสวยงาม  เด็ก ๆ  ที่นั่งอยู่บนรถจะทำการแสดงดนตรีโบราณเป็นการสร้างสีสัน  นอกจากนี้ยังมีทีมเต้นรำ ชื่อ เนะริ อยู่ด้านหน้า และ ยังมีทีมดึงรถเทศกาล คอยช่วยกันดึงอยู่ด้านหลัง ทั้งนี้งานเทศกาล ฮะมะมัตสึ เป็นงานที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ในแต่ละปีเป็นล้านคนเลยทีเดียว

ทั้งนี้ ในประเทศญี่ปุ่น ช่วงเทศกาลปีใหม่ เด็ก ๆ มักจะมีการละเล่นของโบราณ เช่น ลูกข่าง บัตรอิโระฮะคะรุตะ และ ว่าว ซึ่งการละเล่นนี้สร้างความเพลิดเพลินทั้งการเล่นชักว่าว และการตกแต่งว่าวด้วยภาพและลวดลายต่าง ๆ และในโตเกียว มีอาคารที่นิฮอนบะชิ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ว่าวที่ซ่อนตัวอยู่  ถือได้ว่าเป็นขุมทรัพย์ของว่าวโบราณ ในพิพิธภัณฑ์ว่าวนี้มีว่าวประดับประดาไปทั่วทุกที่ที่เป็นไปได้ที่จะมีให้พวกว่าวได้อยู่ เหมือนเมืองของเด็กเล่นโบราณ มีทุกรูปทรง ทุกสีสัน เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเก่าแก่โบราณย้อนยุค รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับว่าวสำหรับผู้ที่ชื่นชอบพวกมัน

 

post

มารู้จัก ว่าวจีน ที่ได้ชื่อว่ามีประวัติอันยาวนาน


ชาวจีนคิดค้นและประดิษฐ์ว่าวขึ้นมาเป็นเวลานานมากแล้ว จากข้อมูลได้ปรากฏว่าค้นพบเมื่อ 2,000 กว่าปีมาแล้ว บ้างก็ว่าถูกคิดค้นจากนักปราชญ์ บ้างก็ว่าจากช่างไม้ฝีมือดีที่ทำนกไม้ด้วยไม้ และทำให้สามารถบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ตามทิศทางลมได้นานถึง 3 วัน ครั้นต่อมาในสมัยหลี่เย่ ได้มีผู้นำกระดาษมาทำเป็นว่าว  และต่อมามีผู้คิดนำสายดนตรีมาติดที่บริเวณปลายด้านบนของว่าวเมื่อเวลาที่มันลอยอยู่กลางอากาศสายดนตรีที่ผูกไว้ประทะกับลมกลายเป็นเสียงดนตรีคล้ายกู่เจิง  จากนั้นมา ชาวจีนจึงเรียกว่าวว่า เฟิงเจิง ซึ่งแปลได้ว่า พิณลม นั่นเอง

ยุคสมัยแรกของว่าว

แต่ก่อนว่าวของชาวจีนไม่ได้ใช้เพื่อความเพลินเพลิน หากแต่ใช้เพื่อการสอดแนมทางการทหาร เพื่อค้นหาที่มั่นของศัตรู  และยังได้ทำว่าวขนาดใหญ่พอที่จะรับน้ำหนักคน ให้คนขึ้นไปพร้อมกับว่าวเพื่อสอดแนมศัตรู และทำลายขวัญและกำลังใจ เมื่อยุคของสงครามสงบลงในสมัยราชวงศ์ถัง เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก มีแต่ความรื่นเริง ทำให้ว่าวเริ่มกลายมาเป็นการละเล่น เพื่อความสนุกสนานมากขึ้น

ยุคสมัยกลางของว่าว

รูปแบบว่าวเริ่มเข้ามามีบทบาท ได้มีการคิดประดิษฐ์ว่าวรูปร่างต่าง ๆ เช่น นกนางแอ่น ปลา แมลงปอ มังกร และ ค้างคาวเพราะความหมายในคำศัพท์จีน คำอ่านของคำว่าค้างคาวมีเสียงพ้องกับคำที่มีความหมายว่า มีความสุขถ้วนหน้า (เปี้ยนฝู)  หรือ ร่ำรวยถ้วนหน้า (เปิ้ยนฟู่)  จึงเชื่อว่าจะทำให้นำความสุขความมั่งคั่งมาสู่เจ้าของว่าว นอกจากนี้ก็ยังมีรูปอื่น ๆ  อีกมากมาย

ยุคของว่าวในปัจจุบัน

ปัจจุบัน เมืองปักกิ่ง เทียนจิน เหวยฟาง เมืองหนันทง และเมืองหยางเจียง ได้ขึ้นชื่อว่า เป็นเมืองที่ผลิตว่าวอันมีชื่อเสียงของจีน โดยว่าวแต่ละท้องถิ่นก็จะมีเอกลักษณ์มีความนิยมชมชอบที่แตกต่างกัน อย่างว่าวนกนางแอ่น เป็นที่นิยมของผู้คนชาวปักกิ่ง มากกว่าแบบอื่น ส่วนถ้าพูดถึงว่าวของเมืองเหวยฟางซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งว่าวโลก ซึ่งเลื่องชื่อในด้านความสวยงามของว่าว และวัสดุชั้นเยี่ยม จนได้รับรางวัลชนะเลิศจากเทศกาลว่าวนานาชาติที่จัดขึ้นในอิตาลีมาแล้ว ทำให้เมืองเหวยฟางเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลว่าวโลกขึ้นทุกปี ดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบศิลปะลอยฟ้านี้และพลาดไม่ได้ที่จะมาเที่ยวชมความสวยงามของพวกมัน ซึ่งมาจากนานาประเทศทั่วโลก ส่วนว่าวของเมืองปักกิ่งซึ่งมีความเป็นมากว่า 300 ปี และว่าวซาเยี่ยน หรือว่าวนกนางแอ่น เป็นว่าวที่มีชื่อเสียง ด้วยตัวว่าวทำเป็นรูปนกนางแอ่นกางปีกสองข้าง มีหางยาวและแหลม แลดูเหมือนตัวหนังสือจีนที่เขียนว่า ต้า ที่แปลว่าใหญ่ ปีกสองข้างเขียนรูปคางค้าวด้วยมีความหมายที่ดีทำให้มีโชคดี ผาสุก  นอกจากนี้ยังมีว่าวที่เป็นภาพนกนางแอ่นคู่ ตัวหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกตัวหนึ่งเป็นสีแดง คู่กัน เหมือนสามีภรรยาที่มีความรักและจะอยู่ด้วยกันตลอดไป  พร้อมประดับด้วยลวดลายรูปผีเสื้อที่มีความหมายถึงโชคลาภ สิริมงคลอีกด้วย

                ว่าวจีนได้มีการพัฒนามาไกลอย่างลงตัวถือเป็นต้นแบบและทำให้เป็นที่นิยมไปหลายต่อหลายประเทศ ทั้งทางแถบเอเชียและยุโรป ด้วยเพราะมีทั้งศิลปะจากภาพบนกระดาษว่าว ดนตรีที่ใช้นกหวีดที่ทำด้วยผลน้ำเต้ามาติดที่ว่าวจะเปล่งเสียงที่ทรงพลังไพเราะไปได้ไกลหลายกิโลเมตรอีกด้วย นอกจากนี้ชาวจีนยังมีความเชื่อว่า การชักว่าวเป็นการปล่อยความชั่วร้าย ความไม่ดี เอาโรคภัยต่าง ๆ ไปให้พ้น ให้ห่างไกลพวกเค้าหรือคนที่รักได้